วันอาทิตย์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556


Access Point คืออะไร

access point คือ อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่คล้ายคลึงกับ switching hub ของระบบเครือข่ายปกติค่ะ โดย access Point ทำหน้าที่รับส่งข้อมูลทางคลื่นความถี่กับ Wireless Card ซึ่งติดตั้งบนเครื่องของผู้ใช้แต่ละคน
Access Point หมายถึง อุปกรณ์จุดเข้าใช้งานเครือข่ายไร้สาย ทําหน้าที่รองรับการเชื่อมโยงจากเครื่องลูกข่าย



access point diagram

access point

4 Mode Access Point
Access Point หรือเรียกกันสั้นๆ ว่าAP (เอ-พี) ซึ่งจะทำหน้าที่เป็น “จุดกระจายและเชื่อมต่อสัญญาณ ไร้สาย เพื่อเชื่อมต่ออุปกรณ์ไร้สายทุกชนิด (ที่ทำงานภายใต้มาตรฐานของ IEEE802.11) เข้าด้วยกัน นอกจากจะทำหน้าที่เป็น Access Point แล้ว AP ที่ดียังสามารถทำหน้าที่อื่นๆ เพื่อช่วยให้ระบบเครือข่ายไร้สายตอบสนองความต้องการของคุณได้อย่างถึงขีดสุด หน้าที่ต่างๆ ของ AP ที่ดี ที่จะช่วยสร้างระบบเครือข่ายไร้สายของคุณให้ทรงประสิทธิภาพสูงสุดอย่างแท้จริง


1. Default: Access Point Mode แรก คือ Access Point Mode ซึ่งเป็นหน้าที่หลักโดยกำเนิดของ AP ทุกตัวและเป็นที่มาของชื่อเรียกของเจ้าอุปกรณ์ตัวนี้ AP ที่ทำหน้าที่เป็น Access Point จะว่าไปแล้วก็เปรียบเสมือนสวิตซ์ในการสร้างระบบเครือข่ายผ่านสาย (ไม่ว่าจะเป็นสาย UTP หรือสาย Fiber Optic) โดย AP จะทำหน้าที่ เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ต่างๆ ที่รองรับรับระบบเครือข่ายไร้สายเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น Computer, Print Server, Camera หรือ อุปกรณ์พกพาต่างๆ (Smart Phone /PDA) เพื่อให้ใช้ทรัพยากรในวงแลนรวมกัน ทั้งซอฟท์แวร์ อาทิ แชร์ไฟล์ แชร์โปรแกรม แชร์อินเตอร์เน็ต หรือ ฮาร์ดแวร์ อาทิ การแชร์ Printer เป็นต้น Access Point Mode นี้จึงเป็นหัวใจหลักของการสร้างระบบเครือข่ายไร้สาย ที่ต้องการจะเชื่อมต่ออุปกรณ์ไร้สายเข้าด้วยกัน และเป็นเพียงโหมดเดียวที่ให้เครื่องลูกข่าย เชื่อมโยงเข้ากับ Access Point ได้ นอกจากนั้นจะเป็นการเชื่อมกันระหว่าง Access Point ด้วยกันเอง


2. Client Mode (AP Station / AP Client) ใน Mode นี้ AP จะทำหน้าที่ในลักษณะเดียวกันกับ
Wireless Card (หรือ Wireless Adapter อื่นๆ) คือทำหน้าที่เป็นตัวลูกข่าย และเชื่อมต่อผ่านทางสัญญาณไร้สายกับ AP เท่านั้น โดยจะไม่สามารถกระจายสัญญาณไร้สายไปยังอุปกรณ์ชิ้นอื่นๆ ได้อีก การใช้งานใน Mode นี้เหมาะสำหรับการอำนวยความสะดวกให้กับStation ที่ไม่พร้อมสำหรับการใช้งานไร้สาย แต่พร้อมสำหรับการเป็นส่วนหนึ่งในวง LAN เช่น เครื่องชั่งน้ำหนักและพิมพ์ Label ในศูนย์การค้า (โดยเฉพาะในแผนกผักผลไม้) ที่ใช้ดึงข้อมูลจาก Database แล้วคำนวณออกมาเป็นราคาสินค้า โดยไม่ต้องเชื่อมต่ออุปกรณ์ ดังกล่าวกับระบบฐานข้อมูลด้วยสายซึ่งเกะกะ หรือตั้งอยู่ในจุดที่ไม่สะดวกในการติดตั้งสายหรือจะใช้ AP ใน Mode นี้สำหรับการเชื่อมต่อวงแลน 2 วงที่อยู่ห่างกัน เข้าด้วยกัน หรือจะใช้กับเครื่อง Macintosh ที่ไม่ต้องการซื้อ Wireless Card ซึ่งมีราคาค่อนข้างสูงมาใช้งาน โดยสามารถนำ AP มาใช้งานแทนได้

3. Repeater Mode ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าทำหน้าที่เป็น Repeater ก็คือการทำหน้าที่ รับสัญญาณไร้สายมาเพื่อ กระจายต่อ โดยระบบเครือข่ายสำหรับการเชื่อมต่อในลักษณะนี้ต้องอยู่ในวงแลนเดียวกันเท่านั้น ไม่ใช่การสร้างหรือการเพิ่มวงแลนแต่อย่างใด และ AP ที่ ทำหน้าที่เป็น Repeater จะต้องอยู่ในรัศมีของสัญญาณจาก Access Point การเชื่อมต่อใน Repeater Mode นั้น จะสามารถสร้าง Hop ได้ทั้งหมด 8 Hop (1 AP + 8 Repeater) โดยแต่ละ Hop ที่เกิดขึ้น จะทำให้สัญญาณเครือข่ายไร้สายช้าลงตามความหน่วงและตามสภาวะแวดล้อม และหากเกิด Network Down จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องไล่ตรวจสอบ AP ทีละตัว ทำให้เกิดปัญหายุ่งยากในการดูแลระบบเครือข่ายไร้สาย นอกจากนี้ การใช้ Repeater จะทำให้การเชื่อมต่อกับเครื่องลูกข่ายทั้งหมดไปรวมอยู่ที่ Access Point ซึ่งต้อง Load งานหนักและอาจจะพาลแฮงค์ ไปทั้งระบบเลยก็ได้ การตั้งค่า AP ด้วย Repeater Mode จึงเหมาะสำหรับการแก้ไขระบบเครือข่ายที่ได้รับการออกแบบมาผิด เนื่องจากไม่ถูกสำรวจความต้องการใช้งานให้ดีก่อนที่จะสร้างระบบเครือข่าย หรือใช้สำหรับกระจายสัญญาณไปยังจุดอับสัญญาณจริงๆ เนื่องด้วยรูปแบบของสถานที่ใช้งาน เช่น ตามซอกหลืบของอาคาร การใช้งาน Repeater Mode นั้นค่อนข้างจะเป็นการฝืนธรรมชาติของการใช้งานระบบเครือข่ายไร้สายแบบปกติชาวโลกใช้กัน จึงควรใช้สำหรับการแก้ปัญหาเฉพาะหน้ามากกว่าจะใช้เป็นทางเลือกหลักในการวางระบบเครือข่ายไร้สายที่ต้องการประสิทธิภาพสูงสุด


4. Bridge Mode (WDA: Wireless Distribution Architecture / WDS: Wireless Distribution System) สำหรับใน Mode นี้ AP จะทำหน้าที่เหมือนเป็นสะพาน เชื่อมระหว่างวงแลนเข้าหากัน จะเรียกง่ายๆ ก็คือ Bridge Mode ทำให้วงแลน 2 วง ที่ต่างคนต่างทำงานกันเป็นปกติอยู่แล้ว สามารถเชื่อมต่อเข้าหากันได้ และต่างก็สามารถเข้าถึงอุปกรณ์ของอีกวง แลนหนึ่งได้ (แตกต่างจาก Client Mode ตรงนี้ Client Mode จะไม่สามารถเชื่อมต่อไปยัง อุปกรณ์ไร้สายเครื่องอื่นๆ ได้ แต่ใน Bridge Mode นี้ทำได้) การเชื่อมต่อในลักษณ์ Bridge Mode ทำได้ ทั้งแบบ Point to Point (PtP) คือเชื่อมระหว่างวงแลน 2 วงเข้าด้วยกัน และการเชื่อมต่อแบบ Point to Multi-Point (PtMP) นั่นก็คือสามารถเชื่อมต่อวงแลนมากกว่า 2วงแต่สูงสุดไม่ควรจะเกิน 7 Bridge เนื่องจาก จะทำให้การเชื่อมต่อช้าลงเนื่องจากความหน่วง (เช่นเดียวกันกับ Repeater Mode) ไม่ใช่ AP ทุกตัวที่จะสามารถทำงานได้ครบ ทั้ง 4 Mode ดังนั้นก่อนจะตัดสินใจเลือก AP ตัวใด ควรสอบถามจากเจ้าของผลิตภัณฑ์ให้ แน่ใจก่อนว่า AP ที่คุณซื้อนั้นสามารถใช้งานใน Mode ที่คุณต้องการได้ เพื่อให้การจ่ายเงิน ของคุณเกิดประโยชน0สูงสุด ที่สำคัญ AP ในแต่ละ Mode ล้วนแล้วแต่มีวัตถุประสงค์ในการ ใช้งานที่แตกต่างกันไป จะเลือกใช้ Mode ใด ก็ขึ้นอยู่กับความต้องการ และลักษณะของระบบเครือข่ายที่คุณต้องการ ดังนั้นก่อนที่จะสร้างระบบเครือข่าย สิ่งสำคัญคือต้องศึกษาความต้องการให้ดี เพื่อที่จะได้ออกแบบระบบเครือข่ายที่รองรับการทำงานของคุณอย่างแท้จริง



5. Repeater Mode โหมดนี้เป็นเหมือนการขยายระยะส่งของระบบ Wireless LAN ครับ โดยติดตั้ง Access Point เพิ่มขึ้น บริเวณที่สัญญาณของ Access Point ตัวหลักเริ่มจาง ทำให้สามารถเพิ่มระยะส่งของทั้งระบบออกไปอีก



เนื่องจากอุปกรณ์ Access Point ถือเป็นหัวใจสำคัญของการติดต่อสื่อสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์และปาล์มท็อปที่มีการติดตั้งอุปกรณ์ Wi-Fi NIC ไว้ภายใน โดย Access Point จะทำหน้าที่ทดแทนสายแลนในกรณีของการเชื่อมต่อแบบใช้สาย ดังนั้น ผู้ออกแบบระบบเครือข่ายแลนไร้สายจึงต้องมีความเข้าใจแนวทางในการติดตั้งอุปกรณ์ Access Point เป็นอย่างดี เพื่อให้เกิดความเหมาะสมและได้ประสิทธิภาพสูงสุดในการใช้งานสำหรับผู้ใช้งานทุกคน
เริ่มจากการกำหนดขอบเขตของพื้นที่การให้บริการแลนไร้สายก่อนว่าต้องการให้บริการเฉพาะพื้นที่ภายในอาคารสำนักงานหรือจะเปิดให้บริการแบบสาธารณะ เช่น ในย่านแหล่งชุมชน สนามบิน หรือห้างสรรพสินค้า หลังจากการกำหนดพื้นที่แล้วผู้ออกแบบระบบก็จะทำการประมาณจำนวนผู้ใช้บริการที่จะนำเครื่องคอมพิวเตอร์มาเชื่อมต่อแลนไร้สายในบริเวณนั้นๆ ซึ่งท้ายที่สุดก็จะสามารถคิดคำนวณได้ว่าจะต้องใช้อุปกรณ์ Access Point ติดตั้งในบริเวณที่เปิดให้บริการเป็นจำนวนเท่าไร จากมีซอฟต์แวร์ที่ใช้ช่วยในการคำนวณดังกล่าววางจำหน่ายควบคู่ไปกับอุปกรณ์ Access Point ของผู้ผลิตหลายๆ ราย สิ่งที่ถือเป็นหัวใจสำคัญของการออกแบบที่แท้จริงอยู่ที่การหาตำแหน่งติดตั้งอุปกรณ์ Access Point ซึ่งในพื้นที่หนึ่งๆ ที่ต้องการเปิดให้บริการแลนไร้สายอาจมีความจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ Access Point เป็นจำนวนหลายๆ ชุด ทั้งนี้จำเป็นต้องมีการสำรวจ พื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับการติดตั้งอุปกรณ์ Access Point โดยพิจารณาจากความสะดวกในการติดตั้ง ความเหมาะสมของตำแหน่งที่จะทำให้สัญญาณคลื่นวิทยุกระจายไปยังพื้นที่ส่วนต่างๆ ได้ทั่วถึงมากที่สุด ทั้งนี้ยังต้องคำนึงถึงจำนวนของผู้ใช้งานในบริเวณนั้นๆ ด้วยเช่นกัน อุปกรณ์ Access Point ที่ส่งสัญญาณคลื่นวิทยุด้วยกำลังส่งสูงสุด 100 มิลลิวัตต์ ในพื้นที่เปิดโล่ง จะสามารถครอบคลุมรัศมีทำการได้ถึง 46 เมตร แต่หากทำการติดตั้งภายในอาคารซึ่งมีโครงสร้างและส่วนประกอบต่างๆ ที่ทำหน้าที่ลดทอนความแรงของสัญญาณ ก็มักจะพบว่าพื้นที่ใช้งานจริงจะหดแคบลงกว่าระยะทางตามทฤษฏี โดยส่วนใหญ่งานดังกล่าวจึงจำเป็นต้องใช้ผู้ที่มีประสบการณ์และความชำนาญในการติดตั้งอุปกรณ์รับส่งคลื่นวิทยุเข้าช่วยเหลือ
อย่างไรก็ตามผู้เขียนก็เคยมีประสบการณ์ในการลองผิดลองถูกหาตำแหน่งติดตั้งอุปกรณ์ Access Point ภายในอาคาร ซึ่งแม้จะต้องใช้ความพยายามในการปรับเปลี่ยนตำแหน่งสักระยะหนึ่งเพื่อให้ได้ผลการใช้งานที่ดีที่สุด แต่ก็ถือเป็นการลดค่าใช้จ่ายในการว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญซึ่งมักจะมีราคาค่อนข้างสูง นอกจากนั้นซอฟต์แวร์ที่ใช้ช่วยในการออกแบบเครือข่ายส่วนใหญ่ก็มีการทดสอบการรับส่งสัญญาณจากอุปกรณ์ Access Point โดยรายงานคุณภาพของการแพร่กระจายคลื่นวิทยุ ทำให้ช่วยลดความวุ่นวายในการประเมินผลการติดตั้งลงไปได้มากเช่นเดียวกัน ปัญหาสุดท้ายจึงเป็นเรื่องของการจัดความถี่วิทยุให้กับอุปกรณ์ Access Point แต่ละชุด เนื่องจากอุปกรณ์ Access Point ทำหน้าที่เป็นทั้งตัวรับและส่งความถี่วิทยุ เพื่อติดต่อสื่อสารกับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ติดตั้งอุปกรณ์ Wi-Fi NIC ผู้ออกแบบระบบเครือข่ายแลนไร้สายจึงจำเป็นต้องทำการวางแผนความถี่ (Frequency Planning) เพื่อกำหนดความถี่ใช้งานที่เหมาะสมให้กับอุปกรณ์ Access Point ทั้งหมดที่ติดตั้งอยู่ในพื้นที่ที่เปิดให้บริการในย่านความถี่วิทยุใช้งาน 2.4 กิกะเฮิรตซ์นั้น สามารถแบ่งออกเป็นช่องความถี่ย่อยๆ 3 ช่องกิกะเฮิรตซ์นั้น สามารถแบ่งออกเป็นช่องความถี่ย่อยๆ 3 ช่องสำหรับจัดสรรให้กับอุปกรณ์ Access Point แต่ละชุดโดยเป็นไปตามที่แสดงในรูปที่ 3 แต่ละช่องความถี่จะถูกแยกห่างกันช่องละ 25 เมกะเฮิรตซ์ ทั้งนี้เพื่อป้องกันการรบกวนกันเองระหว่างอุปกรณ์ Access Point แต่ละชุด ในทางเทคนิคการติดตั้งทั่วไปนิยมกำหนดชื่อให้กับความถี่ทั้ง 3 ช่องอย่างชัดเจนเพื่อความสะดวกในการอ้างอิงของช่างเทคนิค โดยเรียกความถี่ช่อง 1, ช่อง 6 และช่อง 11 ซึ่งแต่ละช่องมีความถี่ศูนย์กลางในการรับส่งคลื่นวิทยุเป็น 2.412 กิกะเฮิรตซ์, 2.437 กิกะเฮิรตซ์ และ 2.462 กิกะเฮิรตซ์ ตามลำดับ โดยแต่ละช่องความถี่จะใช้ความกว้างความถี่ในการรับส่งเท่ากับ 22 เมกะเฮิรตซ์ตามมาตรฐานโดยทั่วไป อย่างไรก็ตามในการติดตั้งเครือข่าย LAN ไร้สายบางแห่ง ผู้ติดตั้งสามารถเลือกกำหนดได้ว่าจะให้อุปกรณ์ Access Point ใช้ความถี่แคบลงกว่า 22 กิกะเฮิรตซ์ ซึ่งจะทำให้มีช่องความถี่สำหรับเลือกใช้งานมากขึ้น
แนวทางในการออกแบบติดตั้งและกำหนดความถี่วิทยุให้กับอุปกรณ์ Access Point นั้นก็ทำได้หลายแบบ รูปที่ 4ก. เป็นการติดตั้งอุปกรณ์ Access Point จำนวน 3 ชุดเพื่อสร้างพื้นที่ให้บริการสำหรับผู้ใช้งานในบริเวณหนึ่งๆ โดยอุปกรณ์ Access Point แต่ละชุดมีการส่งรับความถี่แต่ละช่องแตกต่างกันไป ผู้ที่ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งที่แบบตั้งโต๊ะ และเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค ไปจนถึงเครื่องปาล์มท้อป สามารถเชื่อมต่อสื่อสารกับเครือข่าย Wi-Fi ได้ไม่ว่าจะอยู่ในพื้นที่ครอบคลุมของอุปกรณ์ Access Point จุดใด ทั้งยังสามารถถือเครื่องคอมพิวเตอร์ของตนเอง (ในกรณีของเครื่องโน้ตบุ๊ค และปาล์มท้อป) ข้ามจากพื้นที่
ครอบคลุมจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่งได้โดยไม่เกิดการสะดุดของการสื่อสารแต่อย่างใด
สำหรับรูปที่ 4ข. เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการติดตั้งอุปกรณ์ Access Point โดยผู้ออกแบบเครือข่ายสามารถเพิ่มจำนวนอุปกรณ์ Access Point เข้าไปในพื้นที่ให้บริการที่มีการติดตั้งอุปกรณ์ Access Point ชุดหนึ่งอยู่ก่อนแล้ว เพื่อเพิ่มความสามารถไปการรองรับผู้ใช้บริการในบริเวณนั้น ทั้งนี้สามารถติดตั้งอุปกรณ์ Access Point ในพื้นที่จุดเดียวกันได้สูงสุดถึง 3 ชุด ผลที่ได้จะเปรียบเสมือนกับได้ทำการเพิ่มความสามารถในการรับส่งข้อมูลจาก 11 เมกะบิตต่อวินาทีไปเป็น 33 เมกะบิตต่อวินาที อย่างไรก็ตามผู้ลงทุนติดตั้งจะต้องทำความเข้าใจอยู่เสมอว่า เครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องจะยังคงมีข้อจำกัดในการรับส่งข้อมูลได้เพียง 11 เมกะบิตต่อวินาทีเท่าเดิม การติดตั้งอุปกรณ์ Access Point ในลักษณะเดียวกับรูปขวาของรูปที่ 4ข. นั้นมีจุดประสงค์เพื่อการ รองรับจำนวนผู้ใช้งานมากขึ้นกว่าเดิมเท่านั้น

ปัจจุบันในสหรัฐอเมริกาก็มีความนิยมในการติดตั้งเครือข่ายแลนไร้สายแบบ Wi-Fi สำหรับการติดต่อสื่อสารในพื้นที่สาธารณะภายนอกอาคาร ตัวอย่างดังเช่นในพื้นที่ย่าน Silicon Valley มลรัฐแคริฟอร์เนีย ซึ่งมีผู้ให้ความสนใจเชื่อมต่ออุปกรณ์คอมพิวเตอร์แบบพกพาเข้ากับอุปกรณ์ Access Point มากขึ้นเรื่อยๆ มีการติดตั้งอุปกรณ์ Access Point ภายนอกอาคารเพื่อสร้างพื้นที่ให้บริการตามถนนสายหลักๆ ผู้เขียนเคยมีความสงสัยว่ากำลังเพียง 100 มิลลิวัตต์กับรัศมีการให้บริการ 46 เมตร ของอุปกรณ์ Access Point ภายนอกอาคารเพื่อสร้างพื้นที่ให้บริการตามถนนสายหลักๆ ผู้เขียนเคยมีความสงสัยว่ากำลังส่งเพียง 100 มิลลิวัตต์กับรัศมีการให้บริการ 46 เมตร ของอุปกรณ์ Access Point จะมีความน่าสนใจสักเท่าไร นึกไม่เห็นภาพว่าจะต้องติดตั้งอุปกรณ์ Access Point กี่ร้อยกี่พันชุดเพื่อสร้างคุณภาพของการติดตั้งอุปกรณ์ Access Point กี่ร้อยกี่พันชุดเพื่อสร้างคุณภาพของการติดต่อสื่อสารผู้เขียนมาทราบในภายหลังว่าในการใช้งานจริงนั้น ผู้ใช้บริการจะใช้เสาอากาศกำลังขยายสูง ติดตั้งเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ Wi-Fi NIC เพื่อขยายความแรงของสัญญาณสัญญาณที่ถูกส่งมาจากอุปกรณ์ Access Point และในทางกลับกันก็ทำการ
ขยายสัญญาณที่ส่งจากอุปกรณ์ Wi-Fi NIC กลับคืนไปยังอุปกรณ์ Access Point
ตัวอย่าง พื้นที่เปิดให้บริการแลนไร้สายในย่าน Silicon Valley นั้นมีแสดงในรูปที่ 5 โดยด้านซ้ายเป็นการแสดงพื้นที่ให้บริการทั้งหมดสำหรับรูปทางขวามือแสดงรายละเอียดเฉพาะในย่าน Sunnyvale และบริเวณใกล้เคียง โดยจุดกลมที่ปรากฏบนถนนและทางหลวงแผ่นดินเป็นพื้นที่ครอบคลุมของ Access Point แต่ละจุดซึ่งในกรณีของการติดตั้งเสาอากาศกำลังขยายสูงเข้ากับอุปกรณ์ Wi-Fi NIC จะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถอยู่ห่างจากรัศมีทำการแต่ละวงได้มากขึ้น รูปที่ 6 เป็นประเภทของเสาอากาศที่นิยมใช้งาน และตัวอย่างการติดตั้งใช้งานเสาอากาศเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อช่วยสำหรับการเชื่อมต่อเข้ากับเครือข่าย LAN
ไร้สายแบบ Wi-Fi ในกรณีภายนอกอาคาร










วันอาทิตย์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2556



Wireless Lan

ระบบเครือข่ายไร้สาย 
          ระบบเครือข่ายไร้สาย หรือ ระบบเครือข่ายแบบ Wireless LAN หรือ WLAN  เป็นการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เป็นเครือข่ายแบบไร้สาย (ไม่จำเป็นต้องเดินสายเคเบิ้ล) เหมาะสำหรับการติดตั้งในสถานที่ที่ไม่สะดวกในการเดินสาย หรือในสถานที่ที่ต้องการความสวยงาม เรียบร้อย และเป็นระเบียบ เช่น สนามบิน โรงแรม ร้านอาหาร เป็นต้น
หลักการทำงานของระบบ Wireless LAN
          การทำงานจะมีอุปกรณ์ในการส่งสัญญาณ และกระจายสัญญาณ หรือที่เราเรียกว่า Access Point และมี PC Card ที่เป็น LAN card สำหรับในการเชื่อมกับ access point โดยเฉพาะ การทำงานจะใช้คลื่นวิทยุเป็นการรับส่งสัญญาณ โดยมีให้เลือกใช้ตั้งแต่ 2.4 to 2.4897 Ghz และสามารถเลือก config ใน Wireless Lan (ภายในระบบเครือข่าย Wireless Lan ควรเลือกช่องสัญญาณเดียวกัน)
ระยะทางการเชื่อมต่อของระบบ Wireless LAN
          
ภายในอาคาร 
          1. ระยะ 50 เมตร ได้ความเร็วประมาณ 11 Mbps 
          2. ระยะ 80 เมตร ได้ความเร็วประมาณ 5.5 Mbps 
          3. ระยะ 120 เมตร ได้ความเร็วประมาณ 2 Mbps 
          4. ระยะ 150 เมตร ได้ความเร็วประมาณ 1 Mbps 
          ภายนอกอาคาร 
          1.ระยะ 250 เมตร ได้ความเร็วประมาณ 11 Mbps 
          2. ระยะ 350 เมตร ได้ความเร็วประมาณ 5.5 Mbps 
          3. ระยะ 400 เมตร ได้ความเร็วประมาณ 2 Mbps 
          4. ระยะ 500 เมตร ได้ความเร็วประมาณ 1 Mbps
การเชื่อมต่อของระบบเครือข่าย Wireless LAN มี 2 ลักษณะ ดังนี้
          1. การเชื่อมโยงระบบแบบ Ad-hoc (Peer to Peer) 
          โครงสร้างการเชื่อมโยงระบบแบบ Ad-hoc หรือ Peer to Peer เป็นการสื่อสารข้อมูลระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ไร้สายและอุปกรณ์ต่าง ๆ ตั้งแต่สองเครื่องขึ้นไป โดยที่ไม่มีศูนย์กลางควบคุมอุปกรณ์ทุกเครื่องสามารถสื่อสารข้อมูลถึงกันได้เอง ตัวส่งจะใช้วิธีการแพร่กระจายคลื่นออกไปในทุกทิศทุกทางโดยไม่ทราบจุดหมายปลายทางของตัวรับว่าอยู่ที่ใด ซึ่งตัวรับจะต้องอยู่ในขอบเขตพื้นที่ให้บริการที่คลื่นสามารถเดินทางมาถึงแล้วคอยเช็คข้อมูลว่าใช่ของตน หรือไม่ ด้วยการตรวจสอบค่า Mac Address ผู้รับปลายทางในเฟรมข้อมูลที่แพร่กระจายออกมา ถ้าใช่ข้อมูลของตนก็จะนำข้อมูลเหล่านั้นไปประมวลผลต่อไป
การเชื่อมโยงเครือข่ายไวร์เลสแลนที่ใช้โครงสร้างการเชื่อมโยงแบบ Ad-hoc ไม่สามารถเชื่อมโยงเข้าสู่ระบบเครือข่ายอีเธอร์เน็ตได้ เนื่องจากบนระบบไม่มีการใช้สัญญาณเลย
          2. การเชื่อมโยงระบบแบบ Infrastructure (Client/Server)
          โครงสร้างการเชื่อมโยงระบบแบบ Infrastructure หรือ Client / Server มีข้อพิเศษกว่าระบบแบบ Ad-hoc ตรงที่มีแอ็กเซสพอยน์เป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยง (ทำหน้าที่คล้ายฮับ) และเป็นสะพานเชื่อมเครื่องคอมพิวเตอร์ไร้สายอุปกรณ์ไวร์เลสแลนเข้าสู่เคลือข่ายอีเธอร์เน็ตแลนหลัก (Ethernet Backbone) รวมถึงการควบคุมการสื่อสารข้อมูลอุปกรณ์ไวร์เลสแลน 

อุปกรณ์สำหรับการเชื่อมต่อระบบเครือข่าย Wireless LAN
          1. แลนการ์ดไร้สาย (Wireless LAN Card)
          ทำหน้าที่ในการ แปลงข้อมูล ดิจิตอล ที่ได้จากการประมวลผลของเครื่องคอมพิวเตอร์ให้เป็นคลื่นวิทยุแล้วส่งผ่านสายอากาศให้กระจายออกไป และทำหน้าที่ในการรับเอาคลื่นวิทยุที่แพร่กระจายแปลงเป็น ข้อมูลดิจิตอล ส่งให้เครื่องคอมพิวเตอร์ประมวลผล Wireless LAN ที่ผลิตออกมาจำหน่าย มีหลายรูปแบบแบ่งตามลักษณะช่องเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ได้ดังนี้ 
- แลนการ์ดแบบ PCI 
- แลนการ์ดแบบ PCMCIA 
- แลนการ์ดแบบ USB
- แลนการ์ดแบบ Compact Flash (CF)
          2. อุปกรณ์เข้าใช้งานเครือข่าย (Wireless Access Point)
          ทำหน้าที่เสมือน ฮับ เชื่อมเครื่องคอมพิวเตอร์ไร้สายและอุปกรณ์ไวร์เลสแลนแบบต่าง ๆเข้าด้วยกัน อีกทั้งเป็นสะพานเชื่อมต่อ เครื่องไวร์เลสแลนเข้ากับเครื่องอีเธอร์เนตทำให้ระบบทั้งสองสามารถสื่อสารกันได้ 
          3. สะพานเชื่อมโยงไร้สาย (Wireless Bridge) 
          ทำหน้าที่เป็นตัวกลางเชื่อมโยงระบบ เครือข่ายอีเธอร์เน็ตแลนตั้งแต่สองระบบขึ้นไปเข้าด้วยกันแทนการใช้สายสัญญาณ ข้อมูลที่สื่อสารระหว่างเครือข่ายอีเธอร์เน็ตจะถูกแปลงเป็นคลื่นวิทยุแล้วถูกแปลงไปยังปลายทาง
          4. Wireless Broadband Router
          ทำหน้าที่ในการต่อเข้ากับระบบอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงผ่านคู่สายโทรศัพท์ (ADSL) หรือ เคเบิลทีวี (UBC) ด้วยเทคโนโลยี Broadband Router ซึ่งมีฟังชันการทำงานเป็นตัวค้นหาเส้นทาง, NAT (Network Address Translation) , Firewall , VPN ๆลๆ มาผสมผสานเข้ากับ Access Point ทำให้ผู้ใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ไร้สายสามารถสื่อสารข้อมูลไปยังระบบอินเทอร์เน็ต
          5. Wireless Print Server 
          อุปกรณ์การแชร์เครื่องพิมพ์บนระบบเครือข่าย Wireless LAN
          6. Power Over Ethernet Adapter 
          ทำหน้าที่แยกสาย UTP ที่มีสายทองแดงตีเกลียวอยู่ข้างใน 4 คู่โดยสายทองแดงสำหรับใช้สื่อสารข้อมูลใช้เพียง 2 คู่เท่านั้น ส่วนสายทองแดงอีก 2 คู่สามารถใช้อุปกรณ์ตัวนี้นำมาใช้เป็นเส้นทางสำหรับส่งแรงดันไฟฟ้าไปให้กับตัว Access Point ได้ 
          7. สายอากาศ (Antenna) 
          ทำหน้าที่เปลี่ยนข้อมูลในรูปของกระแสไฟฟ้าที่ส่งออกมาจากภาคส่งของอุปกรณ์ไวร์เลสแลนให้กลายเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแพร่กระจายออกไปในอากาศและสายอากาศยังทำหน้าที่รับเอาคลื่นที่อุปกรณ์ไวร์เลสแลนเครื่องอื่น ๆ ส่งออกมาแปลงกลับให้อยู่ในรูปของกระแสไฟฟ้าส่งให้ภาครับต่อไป
ประโยชน์ของระบบ Wireless LAN
          1. สะดวกในการเคลื่อนย้าย ติดตั้ง เนื่องจาก WLAN ไม่จำเป็นต้องมีสายเคเบิ้ลในการต่อพ่วง 
          2. ง่ายในการติดตั้ง เพราะไม่จำเป็นต้องเดินสายเคเบิ้ล 
          3. ลดค่าใช้จ่าย เนื่องจากไม่ต้องจำเป็นต้องเสียค่าบำรุงรักษา ในระยะยาว 
          4. สามารถขยายเครือข่ายได้ไม่จำกัด
ข้อเสียของระบบ Wireless LAN
          1. มีอัตราการลดทอนสัญญาณสูง นั่นหมายความว่า “ ส่งสัญญาณได้ระยะสั้น ”
          2. มีสัญญาณรบกวนสูง
          3. ต้องแชร์กันใช้ช่องสัญญาณคลื่นความถี่เดียวกัน
          4. ยังมี หลายมาตรฐาน ตามผู้ผลิต แต่ละราย ทำให้มีปัญหาในการใช้งานร่วมกัน
          5. ราคาแพงกว่าระบบเครือข่ายแบบมีสาย 
          6. มีความเร็วไม่สูงมากนัก

Access point




Access Point หมายถึง อุปกรณ์จุดเข้าใช้งานเครือข่ายไร้สาย ทําหน้าที่รองรับการเชื่อมโยงจากเครื่อง
ลูกข่าย เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่คล้ายคลึงกับ switching hub ของระบบเครือข่ายปกติครับ โดย access
Point ทำหน้าที่รับส่งข้อมูลทางคลื่นความถี่กับ Wireless Card ซึ่งติดตั้งบนเครื่องของผู้ใช้แต่ละคน

Access Point หรือเรียกกันสั้นๆ ว่าAP (เอ-พี) ซึ่งจะทำหน้าที่เป็น ?จุดกระจาย และเชื่อมต่อสัญญาณไร้
สาย เพื่อเชื่อมต่ออุปกรณ์ไร้สายทุกชนิด (ที่ทำงานภายใต้มาตรฐานของ IEEE802.11) เข้าด้วยกัน นอก
จากจะทำหน้าที่เป็น Access Point แล้ว AP ที่ดียังสามารถทำหน้าที่อื่นๆ เพื่อช่วยให้ระบบเครือข่ายไร้
สายตอบสนองความต้องการของคุณได้อย่างถึงขีดสุด หน้าที่ต่างๆ ของ AP ที่ดี ที่จะช่วยสร้างระบบเครือ
ข่ายไร้สายของคุณให้ทรงประสิทธิภาพสูงสุดอย่างแท้จริง

ซึ่ง AP นั้นก็มีอยู่หลายโหมดด้วยกันน่ะครับคือ
1.   Access Point Mode  ซึ่งเป็นหน้าที่หลักโดยกำเนิดของ AP ทุกตัวและเป็นที่มาของชื่อเรียกของเจ้า
อุปกรณ์ตัวนี้ AP ที่ทำหน้าที่เป็น Access Point จะว่าไปแล้วก็เปรียบเสมือนสวิตซ์ในการสร้างระบบเครือ
ข่ายผ่านสาย (ไม่ว่าจะเป็นสาย UTP หรือสาย Fiber Optic) โดย AP จะทำหน้าที่ เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่าง
อุปกรณ์ต่างๆ ที่รองรับรับระบบเครือข่ายไร้สายเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น Computer, Print Server, Camera
หรือ อุปกรณ์พกพาต่างๆ (Smart Phone /PDA) เพื่อให้ใช้ทรัพยากรในวงแลนรวมกัน ทั้งซอฟท์แวร์ อาทิ
แชร์ไฟล์ แชร์โปรแกรม แชร์อินเตอร์เน็ต หรือ ฮาร์ดแวร์ อาทิ การแชร์ Printer เป็นต้น Access Point Mode
นี้จึงเป็นหัวใจหลักของการสร้างระบบเครือข่ายไร้สาย ที่ต้องการจะเชื่อมต่ออุปกรณ์ไร้สายเข้าด้วยกัน และ
เป็นเพียงโหมดเดียวที่ให้เครื่องลูกข่าย เชื่อมโยงเข้ากับ Access Point ได้ นอกจากนั้นจะเป็นการเชื่อมกัน
ระหว่าง Access Point ด้วยกันเอง

2.   Client Mode (AP Station / AP Client) ใน Mode นี้ AP จะทำหน้าที่ในลักษณะเดียวกันกับ Wireless
Card (หรือ Wireless Adapter อื่นๆ) คือทำหน้าที่เป็นตัวลูกข่าย และเชื่อมต่อผ่านทางสัญญาณไร้สายกับ
AP เท่านั้น โดยจะไม่สามารถกระจายสัญญาณไร้สายไปยังอุปกรณ์ชิ้นอื่นๆ ได้อีก การใช้งานใน Mode นี้
เหมาะสำหรับการอำนวยความสะดวกให้กับStation ที่ไม่พร้อมสำหรับการใช้งานไร้สาย แต่พร้อมสำหรับการ
เป็นส่วนหนึ่งในวง LAN เช่น เครื่องชั่งน้ำหนักและพิมพ์ Label ในศูนย์การค้า (โดยเฉพาะในแผนกผักผลไม้)
ที่ใช้ดึงข้อมูลจาก Database แล้วคำนวณออกมาเป็นราคาสินค้า โดยไม่ต้องเชื่อมต่ออุปกรณ์ ดังกล่าวกับ
ระบบฐานข้อมูลด้วยสายซึ่งเกะกะ หรือตั้งอยู่ในจุดที่ไม่สะดวกในการติดตั้งสายหรือจะใช้ AP ใน Mode นี้
สำหรับการเชื่อมต่อวงแลน 2 วงที่อยู่ห่างกัน เข้าด้วยกัน หรือจะใช้กับเครื่อง Macintosh ที่ไม่ต้องการซื้อ
Wireless Card ซึ่งมีราคาค่อนข้างสูงมาใช้งาน โดยสามารถนำ AP มาใช้งานแทนได้

3.   Repeater Mode ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าทำหน้าที่เป็น Repeater ก็คือการทำหน้าที่ รับสัญญาณไร้สาย
มาเพื่อ กระจายต่อ โดยระบบเครือข่ายสำหรับการเชื่อมต่อในลักษณะนี้ต้องอยู่ในวงแลนเดียวกันเท่านั้น
ไม่ใช่การสร้างหรือการเพิ่มวงแลนแต่อย่างใด และ AP ที่ ทำหน้าที่เป็น Repeater จะต้องอยู่ในรัศมีของ
สัญญาณจาก Access Point การเชื่อมต่อใน Repeater Mode นั้น จะสามารถสร้าง Hop ได้ทั้งหมด 8 Hop
(1 AP + 8 Repeater) โดยแต่ละ Hop ที่เกิดขึ้น จะทำให้สัญญาณเครือข่ายไร้สายช้าลงตามความหน่วง
และตามสภาวะแวดล้อม และหากเกิด Network Down จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องไล่ตรวจสอบ AP ทีละตัว
ทำให้เกิดปัญหายุ่งยากในการดูแลระบบเครือข่ายไร้สาย นอกจากนี้ การใช้ Repeater จะทำให้การเชื่อมต่อ
กับเครื่องลูกข่ายทั้งหมดไปรวมอยู่ที่ Access Point ซึ่งต้อง Load งานหนักและอาจจะพาลแฮงค์ ไปทั้ง
ระบบเลยก็ได้ การตั้งค่า AP ด้วย Repeater Mode จึงเหมาะสำหรับการแก้ไขระบบเครือข่ายที่ได้รับการ
ออกแบบมาผิด เนื่องจากไม่ถูกสำรวจความต้องการใช้งานให้ดีก่อนที่จะสร้างระบบเครือข่าย หรือใช้สำหรับ
กระจายสัญญาณไปยังจุดอับสัญญาณจริงๆ เนื่องด้วยรูปแบบของสถานที่ใช้งาน เช่น ตามซอกหลืบของ
อาคาร การใช้งาน Repeater Mode นั้นค่อนข้างจะเป็นการฝืนธรรมชาติของการใช้งานระบบเครือข่ายไร้
สายแบบปกติชาวโลกใช้กัน จึงควรใช้สำหรับการแก้ปัญหาเฉพาะหน้ามากกว่าจะใช้เป็นทางเลือกหลักใน
การวางระบบเครือข่ายไร้สายที่ต้องการประสิทธิภาพสูงสุด

4.   Bridge Mode (WDA: Wireless Distribution Architecture / WDS: Wireless Distribution System)
สำหรับใน Mode นี้ AP จะทำหน้าที่เหมือนเป็นสะพาน เชื่อมระหว่างวงแลนเข้าหากัน จะเรียกง่ายๆ ก็คือ
Bridge Mode ทำให้วงแลน 2 วง ที่ต่างคนต่างทำงานกันเป็นปกติอยู่แล้ว สามารถเชื่อมต่อเข้าหากันได้
และต่างก็สามารถเข้าถึงอุปกรณ์ของอีกวง แลนหนึ่งได้ (แตกต่างจาก Client Mode ตรงนี้ Client Mode
จะไม่สามารถเชื่อมต่อไปยัง อุปกรณ์ไร้สายเครื่องอื่นๆ ได้ แต่ใน Bridge Mode นี้ทำได้) การเชื่อมต่อใน
ลักษณะ Bridge Mode ทำได้ ทั้งแบบ Point to Point (PtP) คือเชื่อมระหว่างวงแลน 2 วงเข้าด้วยกัน
และการเชื่อมต่อแบบ Point to Multi-Point (PtMP) นั่นก็คือสามารถเชื่อมต่อวงแลนมากกว่า 2วงแต่สูงสุด
ไม่ควรจะเกิน 7 Bridge เนื่องจาก จะทำให้การเชื่อมต่อช้าลงเนื่องจากความหน่วง (เช่นเดียวกันกับ
Repeater Mode) ไม่ใช่ AP ทุกตัวที่จะสามารถทำงานได้ครบ ทั้ง 4 Mode ดังนั้นก่อนจะตัดสินใจเลือก
AP ตัวใด ควรสอบถามจากเจ้าของผลิตภัณฑ์ให้ แน่ใจก่อนว่า AP ที่คุณซื้อนั้นสามารถใช้งานใน Mode
ที่คุณต้องการได้ เพื่อให้การจ่ายเงิน ของคุณเกิดประโยชน0สูงสุด ที่สำคัญ AP ในแต่ละ Mode ล้วนแล้ว
แต่มีวัตถุประสงค์ในการ ใช้งานที่แตกต่างกันไป จะเลือกใช้ Mode ใด ก็ขึ้นอยู่กับความต้องการ และลักษณะ
ของระบบเครือข่ายที่คุณต้องการ ดังนั้นก่อนที่จะสร้างระบบเครือข่าย สิ่งสำคัญคือต้องศึกษาความต้องการ
ให้ดี เพื่อที่จะได้ออกแบบระบบเครือข่ายที่รองรับการทำงานของคุณอย่างแท้จริง

5.   Repeater Mode โหมดนี้เป็นเหมือนการขยายระยะส่งของระบบ Wireless LAN ครับ โดยติดตั้ง
Access Point เพิ่มขึ้น บริเวณที่สัญญาณของ Access Point ตัวหลักเริ่มจาง ทำให้สามารถเพิ่มระยะส่ง
ของทั้งระบบออกไปอีก

Wireless Router


Wi-Fi Router คืออะไร
Wi-Fi Router ตัวกระจายสัญญาณ Internet แบบไร้สาย สามารถใช้ส่งสัญญาณอินเตอร์ให้ทั้ง คอมพิวเตอร์ และโทรศัพท์มือถือ ซึ่ง Router แบบนี้มีหลายแบบ ในหน้านี้จะขอยกตัวอย่างสองแบบหลัก
1.แบบที่เป็น Router ที่สามารถเชื่อมต่อสาย LAN และยังสามารถปล่อยสัญญาณ Wi-Fi ได้ แต่ Router มักเป็น Router ที่มักต้องใช้อยู่ภายในอาคาร เนื่องจากว่าจำเป็นต้องเสียบปลั๊กเพื่อให้ Router ทำงานได้ สามารถใช้ส่งสัญญาณอินเตอร์ให้ทั้ง คอมพิวเตอร์ และโทรศัพท์มือถือ


Wi-Fi Router ที่สามารถใช้งานได้เหมือน Routerและกระจายสัญญาณ internet ผ่านระบบ Wi-Fi


2. แบบที่สอง เป็น Wi-Fi Router แบบพกพา แบบนี้จะสะดวกกว่าหน่อย เพราะใช้พลังงานจากแบตเตอร์รี่ หรือในบางรุ่นอาจใช้พลังงานจากถ่านอัลคาไลน์ จึงไม่จำเป็นต้องเสียบปลี๊ก Router ก้ทำงานได้ สามารถใช้ส่งสัญญาณอินเตอร์ให้ทั้ง คอมพิวเตอร์ และโทรศัพท์มือถือ


Wi-Fi Router แบบพกพา หรือเรียกว่า Mi-Fi


วันอาทิตย์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2556

การเชื่อมต่อเครือข่ายคอมพิวเตอร์

ก่อนอื่นต้องเตรียมอุปกรณ์ Hub หรือ Rounter สำหรับการทำเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ที่มากกว่า 2 เครื่องขึ้นไปนะครับ
หรือหากต้องกาแค่ 2 เครื่อง ก็สามารถใช้สาย Lan แบบไขว้ ก็ได้ครับ ก่อนอื่นเรามาตั้งค่าการเชื่อมต่อกันก่อนดีกว่า
1. ไปที Start > Network Places.. ก่อนเลยครับ
2. ไปที่ Set up a home or small office network
3. จะเป็นการบอกว่าการตั้งค่านี้สารถตั้งค่าการเชื่อมต่ออะไรได้บ้าง 





4. จะเป็นการบอกให้เปิดอุปกรณ์ใดๆ บ้าง คลิกที่ Next 
5. ในหัวข้อนี้จะเป็นการเลือกการเชื่อมต่อ หากเครื่องแม่หัวข้อด้านบน เครื่องลุกหัวข้อด้านล่าง
6. สั่งการให้การ์ดแลนตัวใด เป็นการเชื่อมต่อ 






7. เป็นการสร้างชื่อให้กับคอมพิวเตอร์ [ห้ามซํากัน]
8. ตั้งกลุ่มของการเชื่อมต่อ [ต้องเหมือนกัน]
9. ตั้งค่าอนุญาติการแชร์เครื่องปริ้นเตอร์หรือไม่ 





10. เป็นตารางบอกรายละเอียดของการเชื่อมต่อที่เราตั้งค่าเอาไว้
11. รอเครื่องคอมพิวเตอร์ประมวลผลการเชื่อมต่อ
12. เลือกหมวดการเชื่อมต่อเครื่องลูกให้การตั่งค่ารูปแบบใด
- สร้างแผ่น Floppy Disc เป็นสื่อกลางการตั้งค่า
- ตั้งค่าในภายหลัง
- ใช้แผ่น ระบบปฏิบัติการ Windows Xp
- สิ้นสุดการเชื่อมต่อ 





การเชื่อมต่อโน๊ตบุ๊คแบบไร้สาย

ก่อนอื่น เปิดหน้าต่าง Network and Sharing Center โดยเข้าไปที่ Control PanelNetwork and InternetNetwork and Sharing Center1. คลิกที่ Set up a new connection or network 




2. เลือก Set up a wireless ad hoc... 

3. คลิก Next




4. จะเข้าสู่หน้าต่าง Set up a wireless ad hoc network ให้คลิก Next ไปได้เลย


5. ตั้งชื่อของ Network ที่จะสร้าง

6. เลือกรูปแบบของระบบรักษาความปลอดภัย ในที่นี้เลือกเป็น WPA2-Personal แต่หากไม่ต้องการให้มี password (เครื่องใครก็เชื่อมต่อได้) ก็เลือกเป็น No authentication (Open)

7. กำหนด Security key หรือรหัสผ่านในการเชื่อมต่อ

8. จากนั้นคลิก Next



9. ระบบจะทำการเชื่อมต่อ หากไม่มีอะไรผิดพลาดจะแจ้งว่า

The [ชื่อเครือข่ายที่ตั้ง] network is ready to use

ให้คลิก Turn on Internet connection sharing เพื่อทำการแชร์อินเตอร์เน็ต เท่านี้ก็เรียบร้อยครับ




หากขึ้นหน้าต่างดังรูปแสดงว่าการเชื่อมต่อและแชร์อินเตอร์เน็ตสำเร็จครับ


หากคลิกดูที่รายชื่อ network ด้านล่าง ดังรูป ก็จะเห็นชื่อของ network ที่เราสร้างรวมอยู่ด้วย ซึ่งเครื่องอื่นๆ สามารถทำการเชื่อมต่อผ่าน network นี้ได้ เสมือนเป็น access point ตัวหนึ่งครับ